เทศน์บนศาลา

กิเลสหนูมีปีก

๒๒ ต.ค. ๒๕๖๖

กิเลสหนูมีปีก

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๖

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมะ ฟังธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดเราก็แสวงหาที่พึ่งที่อาศัยของเราอยู่แล้ว แต่การแสวงหาที่พึ่งที่อาศัยของเราไง ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เราก็ต้องการความสำเร็จในชีวิตไง เราก็จะพึ่งพาอาศัยลาภสักการะ สิ่งที่เราแสวงหามาเพื่อเป็นการดำรงชีวิตไง สิ่งที่ดำรงชีวิต เห็นไหม เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย 

แต่ชีวิตเรา ชีวิตของเรา เห็นไหม เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดๆ” เวลาสัจธรรมอันนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า สิ่งนี้เป็นความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์นะ ขนาดว่า เห็นไหม มนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาแล้วได้บวชเป็นพระ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบ ๙ ประโยค ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ การศึกษาเล่าเรียนมา จบวิชาการในพระพุทธศาสนา แล้วถ้าจบ ๙ ประโยคแล้วเขาต้องให้ฝึกหัดวิปัสสนาๆ เพื่อจะเป็นครูบาอาจารย์ที่ฝึกอบรมสั่งสอนชาวพุทธให้ประพฤติปฏิบัติไง จบ ๙ ประโยคๆ นะ แค่ยังประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ไม่มีสัจจะความจริงขึ้นมาในหัวใจเลย สิ่งที่ไม่มีสิ่งใดขึ้นมาเป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจเลย มันถึงทำให้เกิดทรงจำธรรมวินัยๆ ทรงจำธรรมวินัยไว้ ไว้เพื่ออะไร ไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติๆ ไง 

ฉะนั้น เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว มีอำนาจวาสนาแล้วบวชเป็นพระ บวชเป็นพระแล้วศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาจนจบการศึกษาในพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ธรรมทูตๆ ก็เผยแผ่ธรรมๆ จะเผยแผ่ไปเพื่อความสงบร่มเย็นของสัตว์โลก ความสงบร่มเย็นของโลก แต่ในหัวใจของเรามันเร่าร้อน ในหัวใจของเรามันทุกข์มันยากที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตน สิ่งที่มากระทบไง อายตะทั้ง ๖ ไง กระทบสิ่งใดขึ้นมาถ้ามีกิเลสในหัวใจของเรามันฟูขึ้นมาไง เวลามันทุกข์มันยากๆ ที่หัวใจดวงนี้ 

เวลาเป็นความสุขๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม วิมุตติสุขๆ นะ ในใจมันสงบสุขเพราะมันมีคุณธรรมในหัวใจนั้นสมบูรณ์แบบ ธรรมธาตุๆ ธาตุของธรรม จะบอกว่า ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมๆ นั้น มันเป็นความเข้าใจผิดของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ดั้งเดิมเป็นสัจจะเป็นความจริง แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันต้องศึกษาค้นคว้า แล้วมีการกระทำขึ้นมาให้เป็นตามความเป็นจริงในหัวใจของตน มันถึงจะเป็นของตนไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมๆ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” มันมีสัจจะมีข้อเท็จจริงขึ้นมาในหัวใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันต้องดับเป็นธรรมดา ถ้าดับเป็นธรรมดา มันเป็น เห็นไหม มันเป็นทฤษฎี มันเป็นวิชาการที่การศึกษา แต่เวลาคนเขาเป็นๆ เวลาคนเขาเป็นมันเป็นที่ท่ามกลางหัวใจดวงนั้น เวลาเป็นที่ท่ามกลางหัวใจดวงนั้น เป็นผู้ที่ยืนยันโดยใคร ก็โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” สงฆ์องค์แรกของโลกเกิดขึ้น

ถ้าองค์แรกเกิดขึ้น เห็นไหม ถ้ามีอยู่โดยดั้งเดิมมันก็ต้องรู้พร้อมกัน ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ รู้เหมือนกัน ทำเหมือนกัน แต่ปัญจวัคคีย์อีก ๔ ไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ไม่มีการกระทำความจริงเกิดขึ้น ถ้ามีความจริงเกิดขึ้น เห็นไหม เวลาเราเรียนจบ ๙ ประโยคแล้วมันมีอะไรเกิดขึ้น มันก็ทรงจำธรรมวินัยมาทั้งสิ้นๆ ทรงจำน่ะ กิเลสมันหัวเราะเยาะ กิเลสมันนอนกระดิกเท้าเลยนะ อยู่ในอุ้งมือของมารทั้งสิ้น 

พออยู่ในอุ้งมือของมารทั้งสิ้น เห็นไหม สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากเพราะอะไร อวิชชาพาเกิด อวิชชาพาเกิดไง จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเพราะมีพญามาร เวลาพญามารที่มันครอบงำหัวใจของตนไง เราสร้างบุญกุศลขึ้นมา พระโพธิสัตว์ๆ สร้างแต่คุณงามความดีมา เห็นไหม เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ก็เกิดโดยพญามารนั่นแหละ แต่ก็มีคุณมีบุญมีกุศล มีการทำคุณงามความดีของตน มีการทำคุณงามความดีของตนเป็นจริตเป็นนิสัยเป็นคนดีไง คนดีก็สังสารวัฏ คนชั่ว คนชั่วก็สังสารวัฏ แต่เวลาคนชั่ว จิตที่มันชั่ว เวลามันเกิดนะ แล้วแต่ภพชาตินั้น แต่เวลาชั่วแล้วมันพลิกกลับมามันดีได้ไง เห็นไหม 

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาพ้นจากดีและชั่ว ถ้ามันมีดีชั่ว นั่นไง กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา สิ่งนั้นมันต้องให้ผลแน่นอน เวลาให้ผลแล้ว ให้ผลในกรรมของสัตว์ ในกรรมของสัตว์ไง ถ้าวาระของกรรมที่ทำความชั่วมันก็เกิดโดยความทุกข์ความยาก ถ้าวาระของบุญกุศลมันก็เกิดเป็นบุญเป็นกุศล กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมาไง 

ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าไง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ เห็นไหม อาสวักขยญาณทำลายอวิชชา อาสวักขยญาณ เห็นไหม ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ อริยสัจสัจจะความจริงได้เกิดขึ้นในหัวใจขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง พระอัญญาโกณฑัญญะไง สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายคือสติปัญญา คือวิธีการดับทุกข์ด้วยมรรค ๘ 

มรรค ๘ เห็นไหม สติชอบ สมาธิชอบ ความเพียรชอบ ปัญญาชอบ ความชอบธรรม ความชอบธรรม ชอบธรรมโดยอะไร ชอบธรรมด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะในตัวของมรรค ๘ นั่นไง แล้วเวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันเป็นจริงขึ้นมาด้วยสติ สติชอบ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับไปเป็นธรรมดา อาสวักขยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าไง ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาไง เวลามันเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้าชายสิทธัตถะไง 

เวลามันชำระล้าง เห็นไหม การเกิดเพ็ญเดือน ๖ เห็นไหม เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาออกประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปีไง พยายามฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เพ็ญเดือน ๖ เหมือนกัน เวลาอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจของเจ้าชายสิทธัตถะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เกิดมาเป็นเจ้าชาย เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดขึ้น มันอยู่ดั้งเดิมตรงไหน ดั้งเดิมคือสังสารวัฏ คือมันมีอยู่ตามข้อเท็จจริงของเขา ทำชั่วก็ได้ชั่ว ทำดีก็ได้ดี ปฏิบัติผิดมันก็ได้แต่ความมืดบอด ปฏิบัติถูกต้องชอบธรรมมันก็ได้บุญได้กุศล

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เห็นไหม จักขุง อุทปาทิ มันเกิดจักขุญาณ มันเกิดญาณ เกิดปัญญาขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น เวลามันเกิดญาณเกิดปัญญาขึ้นมาในหัวใจดวงนั้นด้วยความชอบธรรมๆ เวลาเกิดปัญญาๆ ปัญญามันเกิดตลอดเวลา เกิดมากเกิดน้อยแล้วแต่ แล้วแต่ว่าอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน เวลามันเกิดแล้วเกิดเล่า มันไม่ชอบธรรม มันไม่สมบูรณ์แบบของมัน มันก็ลุ่มๆ ดอนๆ ของมัน โดยธรรมชาติของมันไง นี่สัจธรรมในพระพุทธศาสนา

เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติของเรา เห็นไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ พุทธานุสติ เวลามันประพฤติปฏิบัติแล้วมันลุ่มๆ ดอนๆ มันทำสิ่งใดไม่ได้ ทำสิ่งใดไม่ได้ไง นี่กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เวลาโลกเจริญขึ้นมา มันทางวิชาการมันมากมายมหาศาล คนมีการศึกษามีความรู้ขึ้นมาแล้วมันมีสติมีปัญญา แต่ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาแบบโลกๆ ปัญญาแบบวิเคราะห์วิจัย เหมือนกับพระที่บวชมาแล้วเรียนปริยัติ แล้วปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เขาไม่ได้ทำต่อเนื่องขึ้นไปไง 

เวลาเขาเรียนมา เรียนมาเป็นภาคปริยัติ ก็เหมือนเรา เราเกิดมาแล้ว โลกเจริญๆ เราก็มีการศึกษา ศึกษามาแล้วเรามีสติปัญญาของเรามากมายมหาศาล เวลามีสติปัญญาขึ้นมา แล้วมีประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์หน้าที่การงานของเรา ทำสิ่งใดแล้ว เรามีวิชาการ เรามีความรู้ เราทำสิ่งใดแล้วประสบความสำเร็จ ผลของวัฏฏะ ผลของโลกทั้งสิ้น แล้วผลของโลกทั้งสิ้น เหมือนกัน เวลาเรียนพระพุทธศาสนาก็เรียนพระพุทธศาสนาอย่างนี้นี่ภาคปริยัติ เรียนศึกษาแล้วมีความรู้ มีความรู้ทางวิชาการในพระพุทธศาสนาเข้าใจทั้งสิ้นแล้วทำสมาธิอย่างไร ทำความสงบสุขอย่างไร 

เวลาทำไม่ได้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ เห็นไหม ทิฐิมานะ ความอหังการของใจของตน มันไม่ยอมรับหรอก เวลามาฝึกหัด เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิๆ ปัญญาก็สิ่งที่เราศึกษา เราค้นคว้า เรามีความรู้นั่นแหละ ความรู้ในพระพุทธศาสนา ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แล้วเรามีสติปัญญาตรึกในธรรมๆ ตรึกในธรรม เราฝึกหัดปฏิบัติของเราๆ ถ้าฝึกหัดปฏิบัติของเรา เวลาทางวิชาการ เราศึกษา เราค้นคว้า ในทางทฤษฎี เห็นไหม เราเข้าใจได้ 

หนูกับแมวๆ ไง โดยธรรมชาติแมวมันก็สัญชาตญาณของสัตว์ป่า เวลามันหาอาหารของมัน มันจับหนู มันเป็นของคู่กัน เวลาหนูกับแมวๆ ไง หนูมันก็กลัวแมว มันก็หลบก็หลีกก็หลบซ่อนของมัน เวลาแมวมันมามันรีบหาที่หลบซ่อนเลย แล้วแมวมันก็ล่า นั่นน่ะตามธรรมชาติของสัตว์ นี่ก็เหมือนกัน เวลาศึกษานี่มันทฤษฎีไง เวลาเราจะฝึกหัด เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ ก็ไม่สงบสักที เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันก็เป็น เห็นไหม สัจธรรม สัจธรรมเราศึกษามา มันก็เหมือนกับแมว แมวก็ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เหมือนกับแมว ถ้ามีสติปัญญามันไล่ต้อนเข้าไป เห็นไหม หนู หนู หนู กิเลสมันก็หลบมันก็ซ่อนของมัน กิเลสมันก็หลบก็เลี่ยงของมัน ถ้ากิเลสมันหลบไป ถ้าสติปัญญามันเท่าทัน มันปล่อยวางได้ๆ มันก็สงบระงับได้ แมวกับหนู ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงไง

แต่ถ้าเราฝึกหัด เราปฏิบัติของเรา การฝึกหัดปฏิบัติของเรา เรามีสติสัมปชัญญะขึ้นมา สติมันก็เท่าทันกับอารมณ์ความรู้สึกของเรา ถ้าสติมันเท่าทันอารมณ์ความรู้สึกแล้วเราจะรักษาอย่างไร เราจะทำอย่างไร 

จิตนี้เป็นนามธรรม จิตนี้ เห็นไหม รักษายากนัก จิต จิตนี้ จิตของคน ความรู้สึกของคน จิตของคน ความรู้สึกของคน แต่เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา โดยธรรมชาติของมันเวลามันดีดมันดิ้น กิเลสมันดีดมันดิ้นท่ามกลางหัวใจของเรา เรารับรู้ได้ สิ่งที่เป็นดีงาม สิ่งที่ดีงามพันธุกรรมของจิตๆ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา คนที่สร้างบุญกุศลของเขามา เขาสร้างคุณงามความดีของเขามา ความรู้สึกนึกคิดขึ้นมามันก็คิดในทางที่ดีงาม เวลาคนที่มันมีบาปกรรมในหัวใจของตนนะ มันดีด มันดิ้น มันกระฟัดกระเฟียด มันทำมันทุกข์มันยากไปทั้งนั้น สิ่งนี้ เห็นไหม มันเป็นธรรมชาติ ธาตุรู้ สิ่งที่ธาตุรู้มันส่งออกมันต้องรับรู้ของมันไปโดยธรรมของมัน จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กำเนิด ๔ ในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ 

ในปัจจุบันนี้เราได้มีอำนาจวาสนาของเรา ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นคน ถ้าเกิดเป็นคน คนมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุคือร่างกาย ร่างกายของคน ถ้ามันเจริญเติบโตขึ้นไปโดยการดูแลรักษาของพ่อของแม่ ดูแลรักษาโดยตัวของเราเอง เจริญเติบโตขึ้นมา ธาตุ ๔ แต่ธาตุ ๔ ถ้ามันอยู่ได้มันต้องมีพลังงานคือไฟคือจิต ธาตุไฟๆ มันแผดเผาของมัน แล้วมันมีจิตวิญญาณขึ้นมา มันเป็นพลังงานที่มันมีความรู้สึกนึกคิดของมัน โดยธรรมชาติของมัน โดยธรรมชาติของมัน สิ่งนี้ถ้าทางวิชาการเราก็เข้าใจได้ เราก็รู้ได้ เพราะเราเรียนภาคปริยัติ ปริยัติบอกไว้หมดไง 

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ คนเราก็มีธาตุ ๔ ธาตุ ๔ มหาภูตรูป ถ้าเป็นนามธรรมก็ขันธ์ ๕ มีรูป มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยธรรมชาติของมัน เราก็คิดได้ เราก็เปรียบเทียบได้ แต่เราเอาใจเราไว้ไม่อยู่หรอก เพราะอะไร เพราะภาคปริยัตินั้น มันเป็นแมวกระดาษ ไอ้หนูมันเป็นสิ่งมีชีวิตมันดีดมันดิ้น มันพลิกมันแพลงในหัวใจของตน แล้วเราก็แมวกระดาษไง กิเลสมันไม่กลัว มันยิ้ม มันหัวเราะเยาะ มันไม่สนใจด้วย นี่ก็เรียนมา ๙ ประโยค เรียนศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา มันจะมีความสุขจริงหรือไม่ไง สุขจริงหรือสุขไม่จริง เห็นไหม 

เวลาพระกรรมฐาน เวลาเราบวชพระแล้ว เห็นไหม อุปัชฌาย์ให้กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ให้รุกขมูลเสนาสนัง ให้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วเราก็ลุ่มๆ ดอนๆ ของเรานี่แหละ แต่ถ้าเรามีบุญมีกุศลของเราจะฝึกหัดของเรา เรามีครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเราไม่ลงครูบา-อาจารย์องค์ใดเลยนะ มันก็มีตำรับตำรา เห็นไหม ตำรับตำราประวัติครูบาอาจารย์ของเราตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านอย่างไร ปฏิปทาธุดงคกรรมฐาน เราเปิด เราค้นคว้าของเราได้ แล้วเราก็ฝึกหัดของเราไป ปฏิบัติของเราไป หัวหกก้นขวิดเราก็ทำของเราไป ถ้าทำของเราไปมันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาหรือไม่ล่ะ 

ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม สิ่งนี้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เรามีสติปัญญาเท่าทัน เท่าทันกับความรู้สึกของเราหรือไม่ ถ้าเท่าทันความรู้สึกของเรานะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา เห็นไหม เวลาที่จะปฏิบัตินี่นกมีหูหนูมีปีก กิเลสมันร้ายนัก มันสร้างภาพของมันร้อยแปด ถ้ามันสร้างภาพของมัน มันมีครูบาอาจารย์หรือไม่ ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม รักษาใจของเราให้ได้ก่อน ทำความสงบใจเข้ามาๆ 

แมวกับหนู ถ้าแมวกับหนู ธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันก็เป็นศีล มันไม่ใช่เป็นศูนย์ ถ้าเป็นสมาธิจิตสงบตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันเกิดขึ้นมาเป็นจริง มันจะเป็นแมว แมวจริงๆ นี่ข้อเท็จจริงๆ แต่ถ้ามันประพฤติปฏิบัติไม่ได้มันเป็นแมวกระดาษ มันเป็นแมวตุ๊กตา มันตั้งไว้ หนูมันเข้าไปอยู่ในตุ๊กตาแมวเลย มันไม่กลัวหรอก 

แต่ถ้าเราฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงความจังของเราขึ้นมาๆ ผลของการประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมๆ มันดั้งเดิมตรงไหนล่ะ ดั้งเดิมสิ่งนี้มันก็เป็นสัจจะความจริงอันนั้น แต่ถ้าเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันตรากตรำทั้งนั้น เราต้องมีสติมีปัญญาของเรา เราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้าเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยขนาดไหน สาธุ

หลวงตาพระมหาบัวไปเห็นหลวงปู่มั่น เห็นไหม ท่านก็จบมหาเหมือนกัน เวลาจบมหาขึ้นไปแล้ว มันไม่แน่ใจ เวลาทิฏฐิมานะในหัวใจของตนมันอหังการ อหังการเพราะอะไร เพราะนั่นคืออวิชชา พญามาร มีลูกหลานมีลูกสาว ๓ คน ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันมีหลานของมัน มีเหลนของมันเต็มหัวใจเลย ครอบครัวของมันครอบงำเต็มหัวใจทั้งสิ้น แล้วมันจะปล่อยให้หัวใจดวงใดพ้นจากมือมันไปเป็นไปได้ยากนัก เว้นไว้แต่คนมีบุญ 

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติของท่าน ท่านได้เผชิญหน้ากับกิเลสตัณหาความทะยานอยากมาแต่ละขั้นแต่ละตอนบุคคล ๔ คู่ คู่ที่ ๑ ถ้ามันยืนของมันขึ้นมาได้ นี่แล้วมันฝึกหัดปฏิบัติของมันได้ แต่เวลาจะผ่านแต่ละคู่ แต่ละคู่ขึ้นไปนี่มันได้ชำระล้างอย่างไร คนเป็นหนี้แล้วไม่ได้ใช้หนี้ แล้วพ้นจากหนี้มันเป็นไปไม่ได้ นี่การชำระล้าง เราจะชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตน ถ้าจะชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เพราะอะไร 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม เริ่มต้นเวลาบรรลุธรรมแล้วนี่ทอดธุระทอดอาลัยเลย ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านเห็นถึงความลึกลับซับซ้อน สิ่งที่ลึกลับซับซ้อนในหัวใจ แล้วเวลาจะแสดงธรรมๆ สิ่งใดที่เป็นสัจจะเป็นความจริง กิเลสถ้ามันได้ยินได้ฟังแล้วมันรู้เท่ารู้ทัน มันสร้างภาพทั้งนั้น หลวงปู่มั่นท่านสอนไว้ไง ถ้าปฏิบัติไปพร้อมปริยัติมันจะเตะมันจะถีบกัน มันจะจินตนาการไง มันเป็นอุปาทานทั้งสิ้น มันเป็นสัญญาอารมณ์ แล้วเป็นอุปาทาน แล้วถ้ามันรู้เท่าทัน หนูกับแมว แมวกับหนู แล้วถ้ามันแมวกระดาษอีก มันรู้เท่ารู้ทัน มันพลิกมันแพลง ล้มลุกคลุกคลาน

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นของท่าน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แมวกระดาษ นี่ศึกษามาจากภาคทฤษฎี ศึกษามาจากพระไตรปิฎกนั่น นี่กระดาษฉลากยา ศึกษามาแล้วขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็อบรมบ่มเพาะสั่งไว้เลย ถ้าประพฤติปฏิบัติไปถึงที่สุดแห่งทุกข์อันเดียวกัน ไอ้ที่ว่าเป็นกระดาษ เป็นกระดาษนั่นน่ะ นั่นเป็นกระดาษ เป็นทฤษฎี เป็นธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น กึ่งกลางพระพุทธศาสนา เวลาท่านเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาจากหัวใจของท่าน เวลาท่านอบรมบ่มเพาะขึ้นมา ท่านจะส่งต่อจากใจของท่านไปสู่บุคคลที่ประพฤติปฏิบัติให้มันเป็นความจริงขึ้นมา มันก็ต้องเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา มันจะมีสติมีปัญญาแล้วมันจะเห็นภัยเลย เห็นภัยเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเอาเล่ห์เหลี่ยม มันเอาทุกวิถีทาง ทุกวิธีการ จะทำขัดแข้งขัดขา ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานในภาคปฏิบัติล้านเปอร์เซ็นต์

ฉะนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เราถึงต้องมีข้อวัตรปฏิบัติของเราขึ้นมา คำว่า ข้อวัตรปฏิบัติ” คือกติกา เวลาตั้งสัจจะสิ่งใดแล้วจะต้องทำตามสิ่งนั้น เวลาตั้งสัจจะถ้าจะทำตามสิ่งนั้น ถ้าทำไป ทำไปแล้วนี่กิเลสมันก็บังเงา กิเลสบังเงามันก็อาศัยสิ่งนั้นแหละทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน สิ่งที่มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้นะ ถ้ามันสงบระงับของมันขึ้นมาได้ นี่เป็นครั้งเป็นคราว เป็นครั้งเป็นคราวนี่ เห็นไหม ชำนาญในวสี

เวลาคนที่ไม่มีสิ่งใดเลยประพฤติปฏิบัติไปมันก็ล้มลุกคลุกคลาน เวลามีสิ่งใดขึ้นมา เห็นไหม นี่กิเลสหนูมีปีก เวลากิเลสหนูมีปีกนะ มันปลิ้นมันปล้อน เวลาจิตสงบแล้วนี่ โอ๊ยนี่นิพพาน เวลาจิตสงบ จิตสงบมันก็ชั่วคราว นี่สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายต้องเป็นอนัตตา ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นอนัตตาทั้งสิ้น แม้แต่ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปโดยธรรมชาติของมัน แต่เวลาฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมานี่ เราจะเอาตามความเป็นจริงของเราขึ้นมาไง 

เวลาถ้ากิเลสหนูมีปีก เห็นไหม เวลามันกางปีก เวลาลมใต้ปีกมันส่งเสริมไป มันบินว่อนไป แล้วเราจะจับต้องมันอย่างไร ถ้าเราจะจับต้องมันอย่างไร เราจะรู้เท่าทันมันตรงไหน ถ้าเรารู้เท่าทันมันไม่ได้ เราจะเริ่มต้นอย่างไร การเริ่มต้นปฏิบัติไง นี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาแล้ว สิ่งที่ทุกข์ที่ยากที่สุดก็คือคราวเริ่มต้นนี่แหละ คราวเริ่มต้นคือที่เราฝึกหัดนี่แหละ 

ดูคนเกิดมาสิ เวลานักเรียนอนุบาล อนุบาล ๑ ไปนอน ไปนอนนะ ไปโรงเรียนนะ ครูก็อาบน้ำอาบท่าให้กินอาหารแล้วก็นอน นอนเต็มแล้วก็เล่น เล่นอยู่อย่างนั้น อนุบาล ๑ อนุบาล ๒ อนุบาล ๓ เป็นอนุบาล พออนุบาล ๒ อนุบาล ๓ แล้วก็ค่อย ก.ไก่ ก.กา 

นี่เหมือนกัน เวลาเราจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดเป็นมนุษย์นี่จริงตามสมมุติ มันเป็นสมมุติบัญญัติไง ดูสิ เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่ต้องได้ ๓ ภาษา ๒ ภาษาน้อยไปแล้ว แต่เดิมต้องเรียนอย่างน้อยต้องได้ ๒ ภาษา นี่ ๒ ภาษา ตอนนี้ ๓ อย่างน้อยต้อง ๓ นี่คืออะไร ภาษาเขาก็สมมุติไง สมมุติแตกต่างกัน จะได้กี่ภาษาขึ้นมามันก็เป็นเวลาสื่อสารแล้วก็สื่อสารเพื่อความเข้าใจเหมือนกัน นี่เหมือนกัน แต่มันเป็นภาษาไง นี่จริงตามสมมุติ

เวลาจิตเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม นี่ปุถุชนคนหนา ปุถุชนเวลาประพฤติปฏิบัติไปนี่โลกียะ โลกุตตระนี่มันพร่ำเพ้อ โลกียะหรือโลกุตตระให้มันรู้จริงขึ้นมา ถ้ามันรู้จริงขึ้นมานี่มันไม่ใช่กิเลสหนูมีปีก ถ้ามันแบบว่าไอ้นั่นโลกียะ ไอ้นี่โลกุตตระ นี่หนูมันมีปีก มันกางปีกแล้ว แล้วเดี๋ยวมันบินว่อนเลย อันนี้จะเป็นโลกุตตระ อันนี้จะเป็นโลกียะ ส่งออกหมด โลกียะหรือ โลกุตตระนี่มันจะรู้ก็ต่อเมื่อจิตมันสงบระงับ

ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา สงบระงับ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี คำว่า จิตสงบ” มันจะเป็นฐานเริ่มต้นของการประพฤติปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านจะเน้นเลย จิตเป็นอย่างไรๆ ทำความสงบของใจหรือไม่” เราไม่ต้องไปห่วง ไปห่วงว่าเราจะไม่บรรลุธรรม เราจะไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติติดหัวใจเราไปเลย ขอให้ฝึกหัดปฏิบัติไปเถอะ ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามีความปกติสุขขึ้นมานี่ชีวิตเราร่มเย็นเป็นสุข ถ้าชีวิตร่มเย็นเป็นสุขจะทำสิ่งใดมันก็สมความปรารถนา เวลากิเลสมันดีดมันดิ้น ชีวิตมันไม่ร่มเย็นเป็นสุขไง มันส่งออก ส่งออกจินตนาการไปทั่ว ส่งออกจินตนาการไปทั่ว มันแห้งแล้ง มันว้าเหว่ มันไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันแล้วเราจะอยู่อย่างไร

ถ้าเราอยู่เรามีครูบาอาจารย์ เห็นไหม ร่มโพธิ์ร่มไทร ถ้าร่มโพธิ์ร่มไทรแล้วเราฝึกหัดให้มันเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาในหัวใจของตน ถ้ามันเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาในหัวใจของตน เห็นไหม จิตมันเริ่มมีหลักมีเกณฑ์ของมัน ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันมีสัจจะความจริงของมันนะ มันจะเกิดสติ เกิดปัญญา ถ้าเกิดปัญญา เห็นไหม ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภาคทฤษฎี ศึกษาจากตำรับตำรานี่กระดาษ ถ้าแมวกระดาษๆ เราฝึกหัดปฏิบัติมานี่แล้วถ้ามันฝึกขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา มันไม่เป็นกระดาษแล้วนะ แมวกับหนู

ถ้าภาคปฏิบัติ แมวกับหนู แมวมีชีวิตตะปบ กิเลสกลัวอย่างเดียวคือกลัวธรรมะ กลัวศีลกลัวธรรม แล้วถ้าเราฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาทำความสงบของใจเข้ามาๆ ทำความสงบของใจคืออะไร ก็คือสติ สติจริงๆ ไม่มีสติมันจะควบคุมตัวเราได้ไหม ไม่มีสติขึ้นมา สิ่งที่กิเลสมันยุมันแหย่ มันพลิกมันแพลงขึ้นมานี่กิเลสดิบๆ เลย เริ่มต้นจากปุถุชนคนหนาล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น ปฏิบัติยากมันยากตรงนี้ ถ้ายากตรงนี้แล้วเราถึงพยายาม ศีลก็พยายามรักษาของเรา เพราะศีลถ้ารักษาของเรามันทำให้เรามั่นคง ถ้าไม่มั่นคงเราก็เหลาะแหละวอแวอยู่แล้ว แล้วกิเลสมันเสี้ยมเข้าไปอีก มันไปใหญ่เลย

เริ่มต้นนี่ปุถุชนคนหนานะ แล้วถ้าเราฝึกหัดของเรา รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร แล้วทางภาคทฤษฎี เห็นไหม นี่ก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้ายิ่งใหญ่มาก มันก็ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่ความยิ่งใหญ่นั้นเป็นความยิ่งใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วข้อเท็จจริงล่ะ เนื้อหาสาระล่ะ ถ้าเนื้อหาสาระมันต้องมีสติขึ้นมา สิ่งที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ปัจจยาการต่างๆ แขวนไว้ เรายังไม่เป็นหรอก อารมณ์ของเรามันปั่นป่วนมากกว่านั้น มันคิดไปร้อยแปดพันเก้า จะอาศัยโวหารเอาชนะคะคานกันด้วยทิฏฐิมานะของคน 

เวลาในวงกรรมฐานไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมนะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สนทนาธรรมเป็นมงคลในการประพฤติปฏิบัติ นี่ในภาคปฏิบัติไง ฟังธรรมๆ นี่อันดับหนึ่ง มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงเทศนาว่าการ แล้วผู้ประพฤติปฏิบัติเอาสิ่งนั้น นี่ฟังธรรมๆ ไง องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการ เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นี่เทศนาว่าการ องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์หลานพระสารีบุตร พระสารีบุตรถวายการพัดอยู่ เห็นไหม สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ฟังธรรมๆ นี่อันดับหนึ่งฟังธรรม อันดับสองคือเรานั่งสมาธิภาวนา ฟังธรรมมันผุด ฟังที่สัจธรรมที่จะเกิดขึ้นถ้าเรามีโอกาส

ไม่มีโอกาสเราก็ศึกษาของเรา เราก็พยายามประพฤติปฏิบัติของเรา ค้นคว้าของเราให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในใจของตน ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในใจของตน เราทำความสงบใจเข้ามา ทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจสงบ สงบขึ้นมานี่จิตตภาวนา ถ้าจิตสงบเข้ามา ปุถุชนเป็นกัลยาณชน ปุถุชน คำว่า ปุถุชน” มันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีอะไรจับต้องได้ว่าเราจะเริ่มต้นแล้วจะวางอารมณ์ หรือเราจะมีสติสัมปชัญญะควบคุมหัวใจของเราอย่างใด ปุถุชนคนหนามันมืดแปดด้าน นี่ล้มลุกคลุกคลานๆ เห็นไหม แมวกระดาษ แล้วหนูมันวิ่งพลุกพล่านในใจเลย เราก็พยายามของเราๆ ให้แมวของเรามันมั่นคงขึ้นมา ให้ศีล ให้สมาธิ ปัญญาขึ้นมาที่มันจะตะปบหนูๆ

ทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจสงบระงับแล้วมันจะมีความสุขของตน แล้วความสุขของตน นี่สิ่งที่ว่าโวหาร สิ่งที่ศึกษา ศึกษาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาแล้ว ศึกษามาแล้วนี่แขวนไว้ๆ แล้วพยายามฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงในหัวใจของตน ถ้ามันเป็นความจริงในหัวใจของตน ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าจิตสงบเราก็รู้ว่าสงบ แต่ถ้ากิเลสหนูมีปีกมันว่าสงบนั้นเป็นผลของการปฏิบัติ ความสงบๆ ชำนาญในวสี ครูบาอาจารย์ของเรานะทำความสงบแล้วเวลามันเสื่อม เวลากิเลสมันต่อต้าน แล้วเราจะทำอย่างไรให้มันสงบต่อเนื่องขึ้นไป

ถ้าสงบต่อเนื่องแล้วถ้ามันน้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันจับต้องของมันได้ มันจะจับหนูได้ ถ้ามันจับหนูได้ หนูถ้าแมวจับได้นะ หนูนี่เป็นเหยื่อ เป็นอาหารของมันเลย ถ้ามันจับของมันได้ แต่ถ้ากิเลสมันพลิกมันแพลงล่ะ นี่หนูมีปีกเอาอะไรไปจับมัน แล้วลมใต้ปีกมันส่งๆ ไปเลย ล้มลุกคลุกคลาน 

นี่มันอยู่ที่วาสนาของคน ขิปปาภิญญาผู้ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย นั่นก็วาสนาของคน คนที่มีวาสนาเขาก็รู้เขาก็เห็นของเขา เขาจับต้องของของเขา แล้วถ้าเขาดำเนินการต่อไปของเขาได้ถ้าจาก สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน พอเป็นวิปัสสนากรรมฐาน เวลาปัญญามันเกิด เห็นไหม ปัญญามันเกิดมันพิจารณาของมันไป ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา เห็นไหม มันวาง มันวาง ตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราวๆ ทั้งสิ้น นี่พูดถึงตามข้อเท็จจริงนะ

แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม กิเลสหนูมีปีก มันเป็นเรื่องโลกๆ ตามข้อเท็จจริงๆ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าเลย เวลาหนูกับแมว เวลาแมวมันไล่ล่า หนูหลบซ่อนทั้งสิ้น ถ้าหนูหลบซ่อนทั้งสิ้น บุคคลคนนั้นก็มีความสุขความสงบร่มเย็นชั่วคราว เพราะอะไร เพราะหนูมันหลบซ่อน เวลาถ้าแมวมันเผลอ หนูมันออกมาเพ่นพ่าน เพ่นพ่านมันก็ทุกข์มันก็ยากทั้งนั้น เวลาคนที่ปฏิบัติไม่เป็น มันก็เป็นสำนวนเป็นโวหาร เป็นโลกียะ เป็นโลกุตตระ ก็พูดกันไปปากเปียกปากแฉะ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มี!

เวลาเป็นชิ้นเป็นอันข้อเท็จจริงไง ถ้าข้อเท็จจริงนะ สิ่งที่มันเกิดขึ้น ถ้าจิตมันสงบ จิตมันไม่สงบไม่มีพื้นฐาน สมถ-กรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานเกิดขึ้นไม่ได้ งานที่จะเกิดขึ้น สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน แล้วถ้าวิปัสสนากรรมฐานมันเกิดขึ้น พอมันเกิดขึ้นมันเกิดปัญญาขึ้น มันถึงจะไปชัดเจนว่าสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา

แม้แต่ ๙ ประโยค ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาสมบูรณ์แบบแล้ว เวลาถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันก็จะเป็นภาวนามยปัญญา ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาจากใจของ ๙ ประโยค มันจะเห็นความแตกต่างว่าความจำเป็นอย่างนี้ แล้วศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็เข้าใจทั้งสิ้น แล้วมันจะแยกไม่ได้ว่าอะไรเป็นสุตะ จินตะ มยปัญญา มันแยกไม่เป็นหรอก แล้วมันแยกไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันเป็นอารมณ์เดิมๆ นั่นแหละ มันเป็นสัญญาอารมณ์ของตนนั่นแหละ แล้วถ้าไม่เป็น ไม่เป็นมันก็แยกไม่ได้ 

แต่ถ้าเป็น เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเวลาปฏิบัติแล้วมันเกิดขึ้น เวลามันเกิดขึ้นขึ้นมา กำลังของมัน สติปัญญาของมัน มีอำนาจมากน้อยขนาดไหน ถ้าเป็นโลกียะ โลกียะก็เรื่องโลกๆ เรื่องสมมุตินี่แหละ เรื่องแมวกับหนู แต่ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามาแล้ว ถ้ามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง มันเห็นของมัน แล้วมันจับต้องของมันได้ ถ้ามันจับต้องของมันได้ เห็นไหม ถ้ามันพิจารณาไปมันมหัศจรรย์ในใจของตน นี่ไง เวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมีความเกิดขึ้น เกิดขึ้นคือจิตมันพัฒนาขึ้น มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของมันขึ้น ถ้าเป็นสัจจะความจริงของมันขึ้น เห็นไหม 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวชนะ ไปศึกษาค้นคว้ากับเจ้าลัทธิต่างๆ ๖ ปีนั่นน่ะนั่นแมวกับหนู ศึกษาค้นคว้าขนาดไหนมันก็เป็นเรื่องโลก มันเป็นเรื่องโลก เรื่องโลกคือจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ ก็เรื่องสิ่งที่เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไปศึกษาก็ศึกษากับโลก จิตสงบระงับเท่าไร ได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ ได้กับเขา เขาก็ได้ เขาก็ทำของเขาได้ องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าก็ได้ แต่ได้แล้ว คำว่า โลกคำว่า โลก” มันผลของวัฏฏะ คือผลของวิทยาศาสตร์ ผลของข้อเท็จจริง ผลของกรรม กรรมดีและกรรมชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่กระทำได้แค่นั้น มันไม่เข้าสู่มรรค เข้าสู่มรรคทางสายกลางในพระพุทธศาสนาไง 

ทางอย่างนั้นเป็นทางของกิเลส กิเลสมันขับไส กิเลสมันขับดัน ถ้าทำคุณงามความดีด้วยความเพียรของตน ความมุมานะของตนมันก็ได้แค่นั้น เพราะมันไม่เข้ามาสู่ทางสายกลาง มันไม่เข้ามาสู่มรรค ไม่เข้าสู่มรรค เวลาสิ่งที่มันรู้ มันรู้มันก็ยึดมันก็มั่นเพราะอะไร นั่นแหละเพราะหนูมันมีปีก มันยึดมั่นถือมั่นของมัน มันสำคัญตนของมัน มันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม มันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม แต่แต่มันไม่มีวิปัสสนา มันไม่จับหนูตัวนั้น 

แล้ววิปัสสนาตามความเป็นจริงในข้อเท็จจริงของภาวนามยปัญญา ข้อเท็จจริงคืออะไร บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ทางสายกลางในพระพุทธ-ศาสนา ทางสายกลางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นค้นคว้า แล้วถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา เวลาสมุจเฉทปหาน วิมุตติสุข สุขที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ฉะนั้น เวลาสุขที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ถึงกำเนิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า เพราะเป็นพระอรหันต์ ชำระล้างกิเลสครอบครัวของมารทั้งหมดสิ้น มารดิ้นพราดๆ จนไปฟ้องลูกสาว ความโลภ ความโกรธ ความหลง พ่อไม่ต้องเสียใจ พ่อไม่ต้องน้อยใจ เดี๋ยวพวกอิฉันจะไปจัดการเองค่ะ” เวลาไปแล้วองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นางตัณหา นางอรดี แม้แต่พ่อของเธอ เรือนยอด ๓ หลังเราได้หักลงหมดแล้ว เธอจะมาพะเน้าพะนอมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันหยาบเกินไป มันคนละชั้นคนละตอนกัน เพราะบุคคล ๔ คู่

เวลาเรือน ๓ หลัง ยอดของเรือน ๓ หลังนั้นคือพญามารคืออวิชชา คือเจ้าวัฏจักร ลูกสาวคือความโลภ ความโกรธ ความหลง มันคนละชั้น มันต่ำชั้นกว่ากันเยอะ แต่โดยธรรมา-ธิษฐาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ในพระไตรปิฎก เวลาสิ่งที่มันเป็นสัจจะเป็นความจริงเป็นข้อเท็จจริงของมันอย่างนั้น ถ้าเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริงอย่างนั้น คนที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้วมันจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสุตมยปัญญาเป็นอย่างไร จินตมย-ปัญญาเป็นอย่างไร ภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร

เพราะภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา มันเป็น มคฺโค ทางอันเอก ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา มันอยู่ที่เรากำลังจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นความเป็นจริงในหัวใจของตน แล้วคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็จะเอาลัดเอาสั้น เอาว่าเราจะเอาความสมบูรณ์แบบอย่างนี้ เพราะเราศึกษามาแล้ว แมวกระดาษนะ แมวกระดาษ เวลาเป็นแมวกระดาษขึ้นมาก็วิเคราะห์วิจัย วิเคราะห์วิจัย สิ่งที่เป็นแมวกระดาษ แล้วเป็นแมวกระดาษแล้วยังว่ามันเป็นโลกียะ มันเป็นโลกุตตระ มันเติมนะ มันเลยกลายเป็นกิเลสหนูมีปีกไง หนูมีปีกสำคัญตนว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติ สำคัญตนว่าเป็นปัญญา สำคัญว่าตนเองนี่เป็นโลกุตตระ สำคัญตนไปทั้งสิ้น กิเลสหนูมีปีก ลมใต้ปีกมันส่งเต็มที่เลย ปฏิบัติไปแล้วน่ะเป็นลัทธิเป็นความเห็นผิด เป็นความเห็นนอกจากพระพุทธศาสนาเลย 

ถ้าเห็นถูกต้องในพระพุทธศาสนา ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน หน้าที่การงานทางโลกมันเป็นผลของโลก เห็นไหม สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เราจะบงการชีวิตของใครไม่ได้ทั้งสิ้นๆ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมให้เขามีศรัทธาความเชื่อของเขา แล้วให้เขาประพฤติปฏิบัติของเขาตามความเป็นจริง ถ้าเขาประพฤติปฏิบัติของเขาตามความเป็นจริง มันจะทำความสะอาดในใจของตน ถ้ามันจะทำความสะอาดในหัวใจของตน ทำความสะอาดทางโลก สิ่งใดสกปรกการทำความสะอาดของเขามันมีวิธีการของเขา แล้วแต่ว่าความสกปรกนั้นสกปรกที่ไหน ด้วยวัตถุอะไร เขาจะทำความสะอาดของเขาอย่างไร มันต้องมีที่มาที่ไปของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมๆ แล้วจะทำความสะอาดอย่างไร อยู่โดยดั้งเดิมก็อยู่โดยจิตนี้แหละ เห็นไหม ในมหายานไง ในสิ่งมีชีวิตมีพุทธะอยู่ทั้งสิ้น มีอยู่ทุกที่ในพุทธะ พุทธะก็จิตวิญญาณไง แต่จะทำความสะอาดอย่างไร ถ้าทำความสะอาดไม่เป็น ทำความสะอาดไม่ได้ แล้วกิเลสหนูมีปีก ลมใต้ปีกมันบินไปไม่มีสิ่งใดทิ้งไว้เป็นสมบัติของตนเลย 

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เรามีอำนาจวาสนา เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเริ่มต้นเลย มีวัตรปฏิบัติ มีวัตรปฏิบัติของเรา เราเกิดมา เห็นไหม ปุถุชนคนหนาทั้งสิ้น คำว่า หนา” หนาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก จะมีหน้าที่การงานอย่างใด จะมีความประสบความสำเร็จในชีวิตมากน้อยขนาดไหน จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาพลัดพรากไปแล้ว เห็นไหม การเกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง แล้วมาบวชเป็นพระไง บวชเป็นนักรบไง ว่าจะรบกับกิเลสไง 

ถ้าจะรบกับกิเลส เห็นไหม กิเลสมันคืออะไร แล้วเอาอะไรไปรบ แล้วรบที่ไหน แล้วจะรบอย่างไร เวลารบมันก็ไปรบที่แมวกระดาษนี่ไง เอาทฤษฏี เอาคำสั่งสอนอบรมบ่มเพาะของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอ้างอิงไปทั่ว สิ่งที่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมและเป็นวินัยเป็นศาสดาของเรา ศึกษามาแล้ว เห็นไหม วางแล้วทำของเราขึ้นมา ให้เป็นจริงของเรา ถ้ามันเป็นจริงของเราขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะในหัวใจดวงนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมและวินัย ไอ้แมวกระดาษน่ะเป็นผู้ชี้ทาง เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติของครูบาอาจารย์ แม้แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านก็ศึกษาท่านก็ค้นคว้าของท่าน ศึกษาค้นคว้าของท่านเพราะอะไร เวลาประพฤติปฏิบัติไปตามความเป็นจริง ไอ้กิเลสหนูมีปีกมันพลิกมันแพลงขึ้นมา ล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น ไอ้กิเลสหนูมีปีกเราก็เปรียบเทียบให้ว่ามันมีความพิเศษพิสดาร แต่เวลามันเกิดกับเรา เอ๊อะมันเป็นอย่างไร หน้ามืดตามัว เวลามันเกิดกับเรา หน้ามืดตามัวมืดบอดไปตามแรงฉุดกระชากของมันไปทั้งสิ้น จับพลัดจับผลูสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับตนไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเลย ปฏิบัติก็ปฏิบัติพอเป็นพิธี แล้วมันจะเอาความจริงจะเอาความลุ่มลึกมาจากไหน 

ความลุ่มลึกนะ ลุ่มลึกจน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า จะสอนใครได้หนอ” ทอดธุระ ครูบาอาจารย์ของเราก็เหมือนกัน เวลามันเป็นชั้นเป็นตอน บุคคล ๔ คู่ คู่ที่ ๑ เห็นไหม คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ สติ มหาสติ สติอัตโนมัติ ปัญญา มหาปัญญา ไอ้ของเรานี่ยังแยกไม่ถูกนะ โลกียะ โลกุตตระ โลกียะหรือโลกุตตระ เวลาธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺ-คลมุตฺตมํ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านอบรมบ่มเพาะ ธมฺมสากจฺฉา คือการแก้จิตๆ เขาแก้เป็นบุคคลๆ ไป ไม่ใช่ว่าเป็นมาตรฐานที่ความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้จะเป็นโลกียะ ความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้เป็นโลกุตตระ มันเป็นความจำทั้งนั้น มันเป็นกิเลสหนูมีปีกมันบินผับๆ ออกไปจากหัวใจของเราไกลไม่รู้กี่โยชน์ยังไม่รู้ตัว

ถ้าจะมารู้ตัว เห็นไหม น้อมกลับมาธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับ กลับไปที่จิตของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พลังงานตัวนี้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํสมบูรณ์แบบของมันแล้วมันถึงออกไปสู่ขันธ์ เวลาขันธ์ขึ้นมา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หยาบๆ มากๆ แล้วมันยังมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด เวลามันพิจารณาของมัน ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ อะไรก็ไม่ใช่ของเราๆ แต่กิเลสของเราเต็มตัวเลย แล้วเวลากิเลส กิเลสเป็นหนูมีปีกอีกต่างหาก เวลาหนูมีปีกจับต้องมันไม่ได้ไง มันบินว่อนของมันไปท่ามกลางในหัวใจของเรา แล้วเราก็จับต้องสิ่งใดไม่ได้ จับต้องสิ่งใดไม่เป็นไง ถ้าจับต้องสิ่งใดได้จับต้องสิ่งใดเป็น เห็นไหม สัมมาสมาธิ 

เวลามันฟุ้งมันซ่าน ปุถุชนคนหนา รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เพราะสิ่งที่ว่าเป็นแมวกระดาษ เป็นทฤษฏีนั่นล่ะมันเกิดมาจากรูป รส กลิ่น เสียงนี้แหละ มันเกิดมาจากความสัมผัสของจิตนี้แหละ มันส่งออกไปมันจะเป็นโลกียะ มันจะเป็นโลกุตตระตรงไหน มันเป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะมันเป็นสมมุติโลก สมมุติไง

ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เวลาเป็นธรรมๆ เป็นธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สิ่งที่ท่านแสดงไว้ เห็นไหม เป็นศาสดาของเรา แล้วเราก็ต้องฝึกหัดฝึกฝนให้มันเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา ถ้ามันฝึกหัดฝึกฝนเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา ถ้ามันทำสัมมาสมาธิได้ถูกต้อง มันมหัศจรรย์แล้วล่ะ แค่จิตสงบเนี่ย 

ถ้าจิตมันไม่สงบนั่นแมวกระดาษไง พอแมวกระดาษ สัญญาอารมณ์มันก็ถือทิฏฐิมานะยืนกระต่ายขาเดียวว่าต้องเป็นอย่างนั้นๆ ทฤษฏีนี้คงที่ตายตัวหรือ แม้แต่เรา เห็นไหม หยาบ กลาง ละเอียด บางทีทำความสงบของใจบางครั้งมันก็เรียบง่าย บางครั้งที่มันต่อต้าน มันพลิกมันแพลงขึ้นมาเราก็ต้องเข้มแข็ง ต้องมากไปกว่านั้น เวลามันพาให้ลุ่มหลงไป เราจะต้องสติสัมปชัญญะให้มากกว่านั้น แม้แต่การทำความสงบยังมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด มีแต่ว่าอารมณ์กระทบมามากน้อยขนาดไหน

คนปฏิบัตินะ เวลาถ้ามันอารมณ์ดี สติสัมปชัญญะดี ทำความสงบของตนก็ได้ดี เวลามันเสื่อม มันไปกระทบสิ่งใดแล้วมันฟุ้งซ่านหมด แล้วทำอย่างไร แม้แต่จิตถ้าจิตมันสงบ มันจิตสงบ ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิดที่ตัวเองคิดวิเคราะห์วิจัย ถ้าเป็นความรู้สึกนึกคิดที่วิเคราะห์วิจัย ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงในวงกรรมฐาน นั่นล่ะ คือ ปัญญาอบรมสมาธิ 

มันเป็นหนู เห็นไหม แมวกับหนู หนูคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันก็จะดำรงชีพของมัน มันก็ต้องรักษาสภาวะของมัน โดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แล้วมันควบคุมด้วยว่าจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วเวลาเราจะฝึกหัดปฏิบัติ เพราะ เพราะเป็นภาคปริยัติ เป็นสัญญาอารมณ์ เป็นแมวกระดาษ เป็นทฤษฎี มันก็เป็นภาคปริยัติ เวลาภาคปริยัติไง เวลาปฏิบัติเขาไม่เอาปริยัติเข้ามาปฏิบัติด้วย ถ้าเข้ามาปฏิบัติมันก็สร้างภาพอย่างนี้ไง

กิเลสหนูมีปีกไง กิเลสมันพลิกมันแพลงของมันไป ตามแต่สำนวนโวหารที่กิเลสมันจะยัดเหยียดให้ แล้วก็ว่ากันไปตามนั้นว่ามันเป็นธรรมๆ เป็นธรรมยังไม่เห็นหน้ามันเลย ยังปฏิบัติขึ้นมา ไม่เป็นข้อเท็จจริงเลย แค่ทำความสงบของใจให้มันถูกต้อง สัมมา-สมาธิ สัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าเป็นสัมมาสมาธิเวลามันฝึกหัดใช้ปัญญา มันจะเห็นหนูเห็นร่องรอยของหนู เห็นร่องรอยของการที่มันหลบมันซ่อนอย่างไร 

แล้วถ้ามันหลบมันซ่อนขึ้นไป ถ้ามันจับมันต้องของมันได้ล่ะ โดยศีล ๕ ปาณาติปาตา เขาไม่ฆ่าสัตว์ หนูจะไปฆ่ามันหรือ จะไปทำลายมันหรือ เราบวชมา เรามาประพฤติปฏิบัติ เราจะทำลายล้างกิเลส เราไม่ใช่ไปฆ่าหนู มันผิดศีล แต่กิเลสเป็นนามธรรม ไอ้หนูนี่มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสิ่งมีชีวิต ไอ้นี่มัน เห็นไหม เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมาธิษฐาน ท่านเปรียบเทียบไว้มากมาย

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราเปรียบถึงว่าถ้ากิเลสในใจของคน ถ้าจิตมันสงบระงับแล้ว ถ้ามันรู้มันเห็นของมัน เห็นไหม เวลาในวงกรรมฐาน เวลาการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ วิธีการขุดคุ้ยหากิเลสเป็นวิธีการหนึ่ง แต่วิธีการที่ขุดคุ้ยหากิเลสมันหากิเลสไม่เป็น มันเลยบอกว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม เพราะมันไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น แล้วมันจับต้องสิ่งใดไม่ได้ ถ้ามันจับต้องสิ่งใดไม่ได้แล้วถ้าเป็นพระกรรมฐาน พระปฏิบัติ เห็นไหม กิเลสหนูมีปีกมันก็บินของมันไป มันก็พลิกแพลงของมันไป ไอ้คนที่ประพฤติปฏิบัติล้มลุกคลุกคลาน แล้วคิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม 

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์นะ ไม่ต้องวิ่งตามอะไรไปทั้งสิ้น การทำความสงบของใจขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบแล้วมันรู้มันเห็นของเรา มันเกิดนิมิตของมันขึ้นมา ตั้งสติไว้ ใช้สติปัญญาคลี่คลายได้หมดล่ะ เวลาคนที่ปฏิบัติพอจิตสงบแล้วรู้เห็นสิ่งใด ถาม จบเลย เวลารู้เห็นสิ่งใดแล้วมันไม่ถาม มันตื่นเต้นมันตื่นเต้นมันรู้มันเห็น โอ้โฮมันพิจารณามันคิดว่าเป็นความมหัศจรรย์ กิเลสหนูมีปีก เขาชักนำไปแล้ว แล้วขาดสติ ถ้ามีครูบาอาจารย์นะรายงานผล ท่านจะบอกเลยตั้งสติไว้ เวลาสิ่งที่เกิดขึ้นจิตของเราถ้าเป็นปุถุชนคนหนามันไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดหรอก มันรู้มันเห็นสิ่งที่ว่ากิเลสมันพลิกมันแพลง มันทำแต่ความทุกข์ความยากให้หัวใจเราทั้งสิ้น 

ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราจะทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจะทำความสงบของใจเข้ามา สิ่งที่กีดที่ขวางที่ขัดที่แย้งนั่นแหละกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งสิ้น แล้วถ้าจิตมันสงบลงบ้าง เห็นไหม จิตสงบลงบ้าง สิ่งที่จิตสงบแล้วมันรู้เห็นสิ่งใดมันเป็นการยืนยันว่าจิตของเรามันมีความสงบขึ้น ถ้ามีความสงบขึ้นแล้วพลังงาน โดยธรรมชาติ คนเราเกิดมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ความรู้สึกนึกคิดนั้นมันนึกคิดโดยสัจจะโดยข้อเท็จจริงโดยธรรมชาติของมนุษย์ โดยธรรมชาติของมนุษย์ โดย กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมาโดยจริตนิสัย 

ถ้ามันพลังงานมันส่งออกของมันโดยธรรมชาติของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว แล้วมันมีกิเลสกระตุ้น กิเลสมันอนุสัยนอนเนื่องไปกับความคิดนั้น ถ้าอนุสัยนอนเนื่องไปกับความคิดนั้น เห็นไหม มันก็คิด คิดโดยกิเลส เห็นไหม มีอนุสัยนอนเนื่องไปกับอารมณ์ความรู้สึกของตน เราพุทโธๆ แล้วใช้ปัญญาอบรมสมาธิไง สิ่งที่ว่ากิเลสสงบตัวลง กิเลสสิ่งที่เป็นอนุสัยที่มันนอนเนื่องไปกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมันเบาบางลง พอเบาบางลงมันมีพลังงานที่มันไปรู้ไปเห็นของมัน มันเป็นการยืนยันว่าถ้าจิตมันมีกำลัง มันมีความสงบบ้าง มันจะเห็นนิมิต มันจะรู้มันจะเห็นสิ่งใดขึ้นมา ถ้าเราตั้งสติถาม แต่นี่มันไม่ตั้ง มันไหลตามไปๆ แล้ว ไอ้นั่นมันคืออะไรล่ะ ไอ้นั่นมันเป็นอย่างไรล่ะ” นี่คือวุฒิภาวะ ไม่ติเตียนกัน แต่อาการของจิต จิตมันจะเป็นแบบนั้น 

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาเราก็ฝึกหัดของเรา ถ้ารู้เห็นสิ่งใด ถาม แต่ส่วนใหญ่มันถามไม่ได้หรอก อาการนั้นจบแล้ว ถึงได้สนเท่ห์ เอ๊ะมันคืออะไร แล้วจะทำต่อไปอย่างไร” แล้วถ้าจะทำก็ต้องกลับมาพุทโธ กลับมาปัญญาอบรมสมาธิ ให้มันฝึกหัดอย่างนี้ การปฏิบัติยากอยู่ ๒ คราว คราวเริ่มต้นนี่ คราวเริ่มต้นมันยากมันยากเพราะอะไร เพราะอนุบาล ๑ อนุบาล ๒ อนุบาล ๓ จะมีการศึกษา จะมีหน้าที่การงาน จะผ่านโลกมามากน้อยขนาดไหนนั้นเป็นวิชาการ นั้นเป็นวิชาชีพ นั้นเป็นสติปัญญาของตน เวลามันส่งออก สิ่งที่เรามีสติมีปัญญา ที่เราศึกษามา นั่นน่ะธรรมชาติของจิตเป็นอย่างนั้น แล้วมันเคยตัวของมันอยู่อย่างนั้น แล้วจะให้มันสงบยากนัก 

แต่ถ้ามันฝึกหัดปฏิบัติของเราด้วยอำนาจวาสนาของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกนั้น กิเลสกลัวธรรมะเท่านั้น กลัวธรรมะคือธรรมและวินัยขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง ถึงจะบอกว่ามันจะเป็นแมวกระดาษ แมวกระดาษก็ภาคทฤษฎี แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมาก็สติปัญญาเราไง สิ่งที่เราฝึกหัดๆ มันจะเท่าทันของมันไง 

ถ้าฝึกหัดมันเท่าทันของมัน เห็นไหม มันสงบมาก สงบน้อย เราก็ได้เห็น เราได้เห็นจิตของเรานะ เอ้อมันเป็นอิสระได้ มันหยุดได้ มันหยุดคิดได้ ความหยุดคิดนั่นน่ะ ถ้ามันหยุดคิดแล้ว ถ้าจะทำอย่างไรต่อไป หยุดคิดแล้วก็พุทโธต่อเนื่องถ้ามันพุทโธได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วหยุดคิดเดี๋ยวก็คิดอีก ถ้ามันคิดอีก เราได้เห็นบ่อยๆ เราได้เห็นการหยุดคิดบ่อยๆ ถ้าหยุดคิดได้มันก็เป็นข้อเท็จจริง ถ้าเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา เห็นไหม เราก็ควบคุม เราก็ฝึกหัดให้มากขึ้นๆ จนกว่ามันจะมีกำลัง 

นี่พูดถึงถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเห็นว่าจิตหยุดแล้ว มันมหัศจรรย์ก็เอ้อเพราะ เพราะมันทุกข์เพราะคิดนี่แหละ เพราะว่าความคิดมันเหยียบย่ำทำลายหัวใจเรานี่แหละ เพราะมันคิดดีคิดชั่วไง แล้วถ้ามันหยุดคิดได้ เราก็ควบคุมความคิดได้ไง ถ้าเราควบคุมความคิดมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิไง มันบรรลุธรรมตรงไหน มันบรรลุธรรมอย่างไร ไอ้นี่มันแค่ปัญญาอบรมสมาธิ ก็ความคิดสามัญสำนึก ความคิดปกติ จริงตามสมมุตินี่ไง 

แต่เราคิดตามแมวกระดาษไง คิดในแง่มุมธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง แม้แต่ความคิดก็เป็นอนิจจัง ความคิดมันเกิดขึ้นเป็นอนิจจัง แต่แต่ถ้าเราไม่ศึกษา เราก็ไม่รู้ ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเราก็ไม่มีวิชาชีพ ถ้าวิชาชีพขึ้นมา เห็นไหม เราก็เป็นผู้รู้ เราเป็นปัญญาชน เรามีความฉลาด แต่ความฉลาดนั้นถ้ามันกิเลสไง กิเลสหนูมีปีก มันก็เสริมไปๆ แต่ถึงเวลาเราจะให้มันสงบ แล้วมันจะสงบอย่างไรล่ะ แล้วถ้ามันสงบมันก็ต้องสงบท่ามกลางหัวใจเรานี่ไง ถ้ามันสงบท่ามกลางหัวใจ เอ๊อะเอ๊อะนี่สัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธินี่ฝึกหัดบ่อยครั้งเข้า ชำนาญในวสี เพราะชำนาญในวสีถ้าพุทโธๆ เห็นไหม ถ้าเป็นพุทธานุสติถ้าจิตมันสงบ เห็นไหม ที่มันรู้นิมิตรู้ต่างๆ เหมือนกัน เริ่มต้นเหมือนกัน

ปุถุชน กัลยาณชน กัลยาณชนนี่จิตสงบแล้ว เอกัคคตา-รมณ์คือจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นคือจิตมีกำลัง เวลาจิตมีกำลังขึ้นแล้วถ้าไม่มีวาสนา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้รำพึง เวลาเราบอกว่า ความคิดเวลามันคิดมันฟุ้งมันซ่าน มันทุกข์มันยาก เวลาถ้ามันหยุดคิด หยุดคิดมันจะเป็นสมาธิ แล้วสมาธิเป็นสมาธิแล้วจะคิดอย่างไรล่ะ เวลาถ้าจิตมันเห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นไหม มันคิดได้ คิดได้เพราะอะไร คิดได้เพราะอุปจารสมาธิ จิตมันมีกำลังของมัน มันมีวุฒิภาวะของมัน มันผู้รู้ คือจิตที่เป็นสัมมา-สมาธิ สิ่งให้ถูกรู้คือขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี่มันก็สัญญาอารมณ์ไง

ถ้าจิตสงบแล้วถ้ามันจับได้ นี่กาย เวทนา จิต ธรรม ธรรมารมณ์ จิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตมีกำลังถ้ามันจับต้องได้จะเป็นสติปัฏฐาน ๔ เป็นธรรม อารมณ์ที่เป็นธรรม อารมณ์ที่เป็นธรรมเพราะมันมีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน แล้วมีสติมีปัญญามันถึงน้อมไปเห็นธรรมารมณ์ นี่อารมณ์ที่เป็นธรรม แต่ถ้าไม่ปฏิบัติเลย อารมณ์นี่แหละ แมวกับหนูมันหลอกมันล่อ มันพลิกมันแพลงอยู่ในหัวใจเราไปตลอด นี่เราก็ฝึกหัดปฏิบัติของเรานี่ไง 

ถ้าเราไม่ฝึกหัดปฏิบัติ เราจะมีการศึกษามีความรู้มากน้อยขนาดไหน พระศึกษาธรรมะจบ ๙ ประโยค ๙ ประโยคก็คือ ๙ ประโยคไง แมวกระดาษมันก็เป็นทฤษฎีเป็นศึกษาตำรับตำราไง เวลา ๙ ประโยคจบมาก็ได้ประกาศนียบัตรไง ก็กระดาษเหมือนกันไง พอกระดาษเหมือนกันแล้ว สิ่งที่ได้มาความรู้นั้นก็เป็นความทรงจำไง เป็นความจำไง 

ถ้าความจริงมันเกิดนะ ครูบาอาจารย์ที่ดีงามเวลาท่านจะออกปฏิบัติ กระดาษก็เก็บไว้ที่นั่น กระดาษอยู่ที่ไหนก็ไว้ที่นั่น แต่ตัวเราจะออกธุดงค์ ตัวเราจะออกฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าออกฝึกหัดปฏิบัติ เห็นไหม สิ่งที่ศึกษามามากน้อยขนาดไหนเก็บเข้าลิ้นชักสมองไว้อย่าให้มันออกมา แล้วเราจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาให้ตามเป็นจริง ถ้ามันฝึกหัดขึ้นมาให้เป็นตามเป็นจริง ถ้าจิตไม่สงบมันก็ฟุ้งซ่าน มันก็มีความทุกข์ความยากของมัน ความทุกข์ความยากขนาดไหน เพราะถ้าจิตนี่มโนกรรม มโนกรรมมันอยู่ในหัวใจของเรา มโนกรรมนะ การกระทำอันนั้น แล้วเวลาฝึกหัด เราพุทโธๆ ก็มโนกรรม เวลาโดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตมันต้องมีความรู้สึกนึกคิดของมันธรรมชาติของมัน นี่โดยธรรมชาติ 

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับ ทวนกระแสกลับคือต้องเอาความคิดที่พลังงานที่มันส่งออกนี่ให้กระแสกลับให้เข้าไปสู่จิตของตนให้ได้ ก็เลยต้องมีพุทโธๆๆๆ พุทโธก็มันคิดได้แค่พุทโธไง พุทโธจนพุทโธไม่ได้ พุทโธถ้าเวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา เวลาพุทโธขึ้นมานี่มันอึดอัด มันทุกข์มันยากทั้งสิ้นนะ แต่ถ้าเราฝึกหัดบ่อยครั้งเข้า บังคับๆ

เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ เวลาปฏิบัติมันต้องสะดวก มันต้องสบาย ทำสิ่งใดมันต้องดีงามไปทั้งหมดล่ะ ก็ปล่อยให้มันหายไปกลางอากาศ แล้วบอก นี่พุทโธหาย มันเป็นอากาศธาตุไปเลย” แล้วจิตอยู่ไหนล่ะ แต่ถ้าเริ่มต้นบังคับ ที่เป็นอากาศธาตุไปเลยน่ะให้มันมีพุทโธ พุทโธๆๆ นี่คืออะไร คือการท่อง มโนกรรม นวกรรม ใจต้องมีการกระทำ พุทโธๆๆ เริ่มต้นมันดีดมันดิ้น มันพลิกแพลงตลอดเวลา แต่พอเราฝึกหัดมากเข้าๆ เห็นไหม หนูมันเรียบร้อยขึ้น หนูมันดีขึ้น หนูมันเรียบร้อยขึ้นมันดีขึ้น ก็พุทโธได้คล่องตัวขึ้น พุทโธแล้วมันเริ่มละเอียดรอบคอบขึ้น พุทโธมันต่อเนื่องขึ้น พุทโธๆๆ นี่ไง มันดีงาม มันไม่ส่งออกไป เห็นไหม

เริ่มต้นเวลามันส่งออกมันไป ๓ โลกธาตุ เวลาพุทโธเหมือนกับเขาฝึกหัดเล่นเทนนิส เขาตีกับกำแพงมันเด้งกลับหมดล่ะ พุทโธๆๆ เหมือนกัน เหมือนกำแพงที่กั้นไว้ไม่ให้มันไป ไม่ให้มันไป ถ้ามันพุทโธๆๆ จนพุทโธ เห็นไหม ตีลูกเทนนิสเข้ากำแพง มันกลับมาเราก็ตีกลับได้ โอ้โฮมันคล่องแคล่วว่องไวๆ เอ้อมันชักมีทักษะ มันชักดีขึ้น

เหมือนกัน พุทโธจนพุทโธไม่ได้ กำแพงก็ไม่มี ลูกเทนนิสก็ไม่มี ว่างหมด แล้วมันว่างอย่างไร โดยความเป็นจริง เพราะนี่ไงถ้าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม มีอย่างนี้ เพราะนามธรรมจิตมันมีอยู่แล้ว จิตที่เป็นนามธรรม เวลามันสงบเข้ามา ตัวมันเองเป็นตัวของมันเอง แล้วตัวมันเองมันไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องอาศัยลูกเทนนิส ไม่ต้องอาศัยไม้เทนนิส ไม่อาศัยว่าเราต้องตีเทนนิส เพราะตีเทนนิสเราก็ตีเพื่อทักษะ เพื่อความฝึกหัดตนเอง

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆ ก็เพื่อหัวใจตัวเอง ถ้าหัวใจตัวเองถ้ามันตามข้อเท็จจริงแล้วมันพุทโธๆๆ จนพุทโธหาย พุทโธหายแต่ตัวมันเด่นชัด ไม้เทนนิสก็หาย ลูกเทนนิสก็หาย กำแพงก็หาย หายหมดเลย แต่จิตเด่นชัดเลยเวลาตามข้อเท็จจริง แต่เวลาถ้าใช้พุทธานุสติมันจะรับรู้ รู้เห็นต่างๆ นั้นมันเป็นจริตนิสัย ฝึกหัดปฏิบัติของเราให้มันดีขึ้น ดีงามขึ้น ให้มันเป็นข้อเท็จจริง อย่าให้เป็นกิเลสหนูมีปีก เวลาปฏิบัตินะมันพาไปเลย บรรลุธรรมๆ

เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แต่ธรรมนั้นสติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม แต่ถ้าเป็น มคฺโค ทางอันเอก มรรค ๘ เวลามันจับต้องได้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง จับต้องได้ ถ้าจับต้องสมถกรรมฐานคือจิตเป็นสัมมา-สมาธิ ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้ามันจับของมันได้ เห็นไหม มันฝึกหัดใช้ปัญญา

ปัญญามันต้องฝึกหัด ปัญญาจะเกิดเอง สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาปัญญาที่เราฝึกหัด เราประพฤติปฏิบัติของเรา จากว่าเป็นโลกียะๆ เป็นโลกุต-ตระ มันรู้หมดล่ะ ถ้าเป็นโลกียะมันเป็นสัญญา ถ้าเป็นโลกียะมันแค่ทบทวนเท่านั้น ไม่ไปไหนหรอก แต่ถ้าเป็นโลกุตตระ โลกุตตระเพราะอะไร โลกุตตระเพราะว่า เห็นไหม สติชอบ งานชอบ เพียรชอบ ปัญญาชอบ ความระลึกชอบ ความชอบธรรมถ้ามันฝึกหัด ฝึกหัดใช้สติใช้ปัญญาจากสมถกรรมฐานเพราะจิตมันเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น 

เวลาพิจารณาของมันไป เห็นไหม พิจารณา พิจารณาแยกแยะไง พิจารณาธรรมารมณ์โดยกาย โดยเวทนา โดยจิต โดยธรรมได้ทั้งสิ้น พิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ต้องสติปัฏฐาน ๔ พร้อมกัน สติปัฏฐาน ๔ อันใดอันหนึ่งเพราะมันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นโดยอันใดอันหนึ่ง อันใดอันหนึ่งก็อารมณ์ที่ปัจจุบันนั้น ถ้ามันจับของมันได้ เห็นไหม แล้วใช้วิปัสสนา วิปัสสนาคือปัญญาที่รู้แจ้ง ปัญญาต้องฝึกหัด ถ้าไม่ฝึกหัดมันจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ แล้วปัญญาที่ฝึกหัด ฝึกหัดเริ่มต้น ฝึกหัด ล้มลุกคลุกคลาน ฝึกหัดไปเห็นเริ่มต้นขึ้นมา เห็นไหม นี่สังขารขันธ์ ความคิด ความปรุง ความแต่ง มันคมมันกล้าของมัน มันพิจารณาของมัน มันมหัศจรรย์ในตัวของมัน มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์

เพราะเริ่มต้นไง เวลามันพิจารณามันไปแล้ว เวลามันปล่อย มันวาง ก็ปล่อยวางตามข้อเท็จจริง แต่ถ้ามันเป็นอริยสัจเป็นสัจจะเป็นความจริง เวลามันปล่อยมันวางมันมีความสงบสุข ความสงบสุข เห็นไหม นี่สมถกรรมฐาน สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตที่มันมีอำนาจวาสนามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ เวลามันพิจารณาไปมันปล่อยวาง มันคนละสถานะ เพราะวางโดยสมาธิ วางโดยปัญญา แล้วปัญญาที่วางๆ นี่มันวางโดยส้มหล่น มันวางโดยจริตนิสัย มันไม่ได้วางโดยมคฺโค ทางอันเอก 

วางโดยการควบคุม วางโดย เห็นไหม พระอัญญาโกณ-ฑัญญะ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายมันวางโดยสิ่งทั้งหลาย ด้วยมรรค ๘ ด้วยการวิปัสสนา ด้วยสติ ด้วยงาน งานชอบคือ จับต้องกิเลสได้ไหม เห็นกิเลสตามเป็นจริงหรือไม่ แล้วใช้ปัญญาจากหยาบ จากกลาง จากละเอียดที่มันสมดุลหรือไม่ ถ้ามันหยาบ กลาง ละเอียดมันสมดุลของมัน เห็นไหม ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา เวลามันสมดุลของมัน มันสมดุลพอดีของมัน มันก็วางๆ

วาง เห็นไหม กิเลสหนูมีปีก มันอยู่บนอากาศจะจับต้องมันอย่างไร แล้วหนูที่มันคืบคลานอยู่ตามกองขยะนั้นก็เป็นหนูโดยธรรมชาติ เวลาหนูมีปีกเพราะอะไร เพราะกิเลสมันปลิ้นมันปล้อน มันหลอกมันลวง มันพลิกมันแพลง มันอ้างอิงว่าบรรลุธรรมโดยโลกุตตระ ไม่ใช่แล้วถ้าไม่ใช่ ไม่ใช่ธรรมดานะ ถ้าไม่ใช่ขึ้นมา เห็นไหม เพราะกิเลสหนูมีปีกมันอ้างอิง มันบิดพลิ้ว แล้ววุฒิภาวะเราไม่ถึง เชื่อ เสื่อมหมดล่ะ 

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ประพฤติปฏิบัติมาขนาดนี้แล้วก็สูญเปล่า สูญสิ้นไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะ เพราะมันจับต้องสิ่งใดไม่ได้ มันไม่ เห็นไหม

ถ้ามันจับต้องสิ่งใดได้ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ ถ้ามันดับ มันดับ พิจารณามันชั่วคราว มันปล่อยวางขนาดไหน นี่เป็นระหว่าง ระหว่างที่เรากำลังกระทำ ระหว่างที่เราทำงานสิ่งใดอยู่ งานนั้นไม่จบไม่สิ้น งานนั้นไม่สมบูรณ์แบบ งานนั้นเป็นชิ้นงานไม่ได้ งานไหนที่เราทำงานเสร็จสิ้น ทำงานสมบูรณ์แบบ งานนั้นจะเป็นชิ้นงานที่เราทำขึ้นมา พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ระหว่างปล่อยวางๆ มันระหว่างการสำรวจการกระทำว่ามันจะสมบูรณ์แบบหรือไม่สมบูรณ์แบบ แล้วไม่มีวาสนาไง 

ถ้ามันมีวาสนานะ ทำซ้ำๆ ขึ้นมา ฝึกหัดปฏิบัติบ่อยครั้งเข้าๆ เวลามันสมุจเฉทปหาน ขาดดับ ดับทุกข์หมดเลย มันถึงจะเป็นข้อเท็จจริงว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เราเพราะอะไร มันไม่ใช่เราเพราะว่าสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์มันขาดไปโดยข้อเท็จจริง สังโยชน์ที่ร้อยรัดจิตไว้

สังโยชน์ ๑๐ นี่มีอยู่โดยดั้งเดิมตรงไหน 

เราชำระล้าง เห็นไหม หนูตัวหนึ่งก็ฆ่าไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นปาณาติปาตา แต่เวลาฆ่า ฆ่ากิเลส ทำลายสังโยชน์ความร้อยรัด สิ่งนี้ทำแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ ทำแล้ว ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนี่เห็นพุทธะ เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกย่องสรรเสริญ แล้วยกย่องสรรเสริญท่ามกลางหัวใจของตน 

เพราะมันเป็นจิตเห็น จิตตภาวนา จิตเป็นผู้กำจัด จิตเป็นผู้สลัด จิตเป็นทำความสะอาด จิตเป็นผู้ใช้หนี้ หนี้เวรหนี้กรรม หนี้สิ่งที่ทำมา ทำความสะอาดของใจ ใจต้องสะอาดระงับ เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาด้วยอริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ นิโรธดับทุกข์ ขณะจิตที่เกิดขึ้นมันเป็นข้อเท็จจริง มันไม่ใช่กิเลสหนูมีปีก หนูมีปีกมันบินไป บินไป บินไป อ้างไป ทำไป ไม่มีอะไรเลย 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมีเหตุมีผล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ แล้วเหตุของการทำความสงบของใจ เหตุของการทำบุญกุศล เหตุของการชำระล้างทำความสะอาดใจ เหตุของการชำระล้างกิเลสในใจ มันไม่มีเหตุไม่มีผลหรือ มันไม่มีเหตุไม่มีผลมันก็ไม่มีอยู่จริงน่ะสิ มันมีอยู่จริงเพราะหลวงตาพระมหาบัวท่านยืนยันถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ ทำไมรู้ ทำไมรู้ว่าเมื่อไหร่ เวลาใด ขณะไหน มันต้องรู้เวลาเกิดและรู้เวลาตาย เวลากิเลสมันตาย

แต่นี่กิเลสมันไม่เคยตาย กิเลสหนูมีปีก บินไป บินไป แล้วจบลงที่ไหนวะ มันจะไปจบที่ไหนล่ะ โลกียะหรือโลกุตตระล่ะ แล้วมันมืดบอดแค่ไหนล่ะ แล้วมันก็จะมืดบอดต่อไปไง แต่ถ้ามีวาสนานะ เขาจะเงี่ยหูลงฟัง ฟังธรรมและวินัย ฟังธรรมตามเป็นจริง แล้วฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมาให้เป็นข้อเท็จจริง เป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตน เป็นสันทิฏฐิโก รู้จริง รู้แจ้งในหัวใจของตน เอวัง